ที่เที่ยวบึงกาฬ ในอดีตจังหวัดบึงกาฬเคยเป็นอำเภอหนึ่งเรียกว่า “ชัยบุรี” ในจังหวัดนครพนม และในปี พ.ศ. 2554 จึงถือว่าจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัด จังหวัดบึงกาฬจึงเป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศ จังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดริมแม่น้ำโขงซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างไทยและลาว
นอกจากนี้บึงกาฬเองยังมีความอุดมสมบูรณ์มากในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ น้ำตก แม่น้ำ ตลอดจนวัฒนธรรมและความเชื่อของชุมชนต่างๆ เกี่ยวกับนาค จึงไม่น่าแปลกใจที่ “ถ้ำนาค” กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ใครหลายๆ คนไปขอพรจากพญานาค
อย่างไรก็ตาม ถ้ำนาคเป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมายเราจะมาแบ่งปันกันในวันนี้ “แหล่งท่องเที่ยวเบงกาน”
ที่เที่ยวบึงกาฬ 1. ถ้ำนาคา
ที่เที่ยวบึงกาฬ เชื่อว่ายุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ถ้ำนาคา” ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและศาสนายอดนิยมในยุคนี้ ความงดงามของถ้ำนาคแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นตรงที่หินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายงูยักษ์หรือที่เรียกกันว่า “พญานาค” หากปฏิบัติตามทฤษฎีธรรมชาติ หินก็จะกัดเซาะเป็นรูปร่างนี้ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “รอยร้าวจากดวงอาทิตย์” ทำให้เกิดลวดลายบนหินที่มีลักษณะคล้ายเกล็ดงู แต่เนื่องจากบึงกาฬและจังหวัดอื่นๆ ในภูมิภาค เชื่อเรื่องพญานาค จึงมีผู้นับถือปู่เอื้อลื้อเป็นจำนวนมาก หลายๆ คนมาขอพร และทุกคนก็ได้พรตามที่ขอ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะได้เห็นธรรมชาติแล้วยังเต็มไปด้วยความสุขและความศรัทธาอีกด้วย
2. วัดภูทอก
“วัดภูทอก” หรือ “วัดเจติยาศรีวิหาร” มีจุดเด่นคือสะพานไม้ล้อมรอบภูเขา สามารถเดินเล่นชมวิว 360 องศา รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและวิวแม่น้ำต่างๆ ทางวัดมีกิมมิคคือบันได 7 ชั้นที่สามารถปีนขึ้นไปได้ ย่อมเป็นทางไปสู่สวรรค์หรือธรรมะ นอกจากทัศนียภาพที่สวยงามของธรรมชาติแล้ว ยังมีพระพุทธรูปให้เราได้สักการะและขอพรให้โชคดีในชีวิตอีกด้วย เหมาะสำหรับใครที่ชอบความท้าทายความสูงและได้รับธรรมะ “วัดภูทอก” เป็นวัดที่สมบูรณ์และน่าสนใจหากใครวางแผนเที่ยวทำบุญ
3. ประตูภูสิงห์
จุดเด่นของประตูภูสิงห์คือเป็นหินสูงใหญ่สองก้อนอยู่ใกล้กัน และจะมีรูคล้ายประตูอยู่ระหว่างหินทั้งสองก้อน ว่ากันว่าสวยงามมากและเหมาะแก่การถ่ายรูปลงโซเชียลเป็นอย่างยิ่ง หากเดินไปตามช่องหินจะมองเห็นทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาล วิวนี้หลักล้านเลย เนื่องจากพื้นที่ด้านล่างเป็นป่าสงวนที่มีป่าฝนหลายชนิดจึงถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรค่าแก่การไปชม
4. หินสามวาฬ
หลายคนอาจถามว่าทำไมถึงชื่อ “หินสามวัน” เพราะรูปร่างของหินเป็นหิน 3 ก้อนเรียงกันเป็นระนาบ ความยาวของหินนั้นคล้ายกับความยาวของปลาวาฬ หลายๆคนบอกว่ามีรูปร่างเหมือนครอบครัววาฬ ครอบครัวพ่อแม่ลูก ตัวหินจะยื่นออกมาหน้าภูเขาเพื่อให้เรานั่งหรือยืนชมวิวได้ แต่หากต้องการบรรยากาศดีๆ อากาศก็ไม่ควรร้อนจนเกินไปและสามารถเห็นทะเลหมอกได้อย่างใกล้ชิด แนะนำให้ไปหน้าหนาว โดยเฉพาะตอนเช้า บอกเลยว่าวิวสวยมาก บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ
5. วัดอาฮงศิลาวาส
“วัดอโหงศิลวัฒน์” ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำที่ตัดผ่านทั้งฝั่งไทยและประเทศลาว จุดเด่นของวัดคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและความเชื่อ โดยจะมีน้ำวนสูงกว่า 200 เมตร เมื่อน้ำไหลเร็วน้ำวนจะปรากฏนานกว่าครึ่งชั่วโมง หลายคนเชื่อว่าจุดนี้คือสะดือแม่น้ำโขงและแม่น้ำนาค อย่างไรก็ตาม ตัววัดเองก็มีความน่าสนใจไม่ใช่เพียงเพราะแม่น้ำโขงเท่านั้น เพราะตามลักษณะไทยประยุกต์ตัวอาคารเองก็มีความสวยงาม ประดิษฐานพระพุทธกวนศาสดาเป็นพระประธาน ต้องบอกเลยว่าที่นี่สวยอลังการมาก สำหรับใครที่อยากได้ mutlu หรือเพิ่มความมั่นใจในชีวิตก็สามารถไปสวดมนต์ขอพรได้ เจ้าแม่สะดือแม่น้ำโขง
6. ลานธรรมภูสิงห์
ลานถ้ำภูสิงห์ จริงๆ แล้วอยู่ไม่ไกลจากหินสามวันเลย บริเวณธรรมภูสิงห์มีทรายสีแดงเป็นบริเวณกว้าง หากมองใกล้จะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายสิงโตและสวยงามมาก ประกอบด้วยหินที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเกิดเป็นชั้นหิน คุณสามารถนั่งชมทิวทัศน์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ความสูงของลานยังพอเหมาะ ทำให้เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการชมเหวินอัน นอกจากนี้ยังมีการอุทิศลานภายในด้วย “หลวงพ่อพระสิงห์” ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ
7. น้ำตกถ้ำพระ
น้ำตกถ้ำพระเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงในจังหวัดบึงกาฬ เพราะที่นี่น้ำไหลตลอดจึงสามารถเล่นน้ำเย็นได้มากเท่าที่ต้องการ พื้นที่ภายในน้ำตกกว้างขวางมาก จัดได้ว่าเป็นสวนน้ำขนาดเล็ก แต่ที่พิเศษกว่าสวนน้ำคือทัศนียภาพทางธรรมชาติโดยรอบ เช่น แนวหินของน้ำตกที่มีความกว้างมากกว่า 100 เมตร และจัดวางอย่างสวยงามด้วยต้นไม้สีเขียวสวยงามโดยรอบ มัน. เล่นน้ำและชมทิวทัศน์ให้รู้สึกเย็นสบาย สิ่งสำคัญคือน้ำใสและเล่นสนุก
8. น้ำตกเจ็ดสี
ส่วนน้ำตกเจ็ดสีแนะนำให้ไปช่วงหน้าฝนครับ เพราะช่วงนี้น้ำจะเยอะน่าเล่นรวมถึงช่วงที่สวยที่สุดของน้ำตกด้วยเมื่อมีน้ำปริมาณมากไหลลงมากระทบโขดหินทำให้เกิดน้ำกระเซ็น ปรากฏการณ์นี้จะทำให้เราเห็นรุ้งเจ็ดสี น้ำตกจึงมีชื่อว่า ‘น้ำตกเจเดส’ น้ำตกมี 3 ชั้น ชั้นที่สวยที่สุดคือชั้น 3 สูงประมาณ 1 กิโลกรัม แต่เรียกได้ว่าคุ้มค่าแก่การเยี่ยมชมอย่างแน่นอน
9. จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ
หากคุณไม่ใช่คนท้องถิ่นหรือไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นคุณอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “หม่อน” คำว่ามัลเบอร์รี่ในที่นี้หมายถึงบ่อหรือบ่อ จุดชมวิวสังข์ร้อยปอประกอบด้วยหินไม่เรียบกว่า 100 ก้อนที่เกิดจากการกัดเซาะตามธรรมชาติ ดูสวยงามมากโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนน้ำจะถูกขังอยู่ในแต่ละหลุมหรือถ้ำทำให้ดูสวยงามยิ่งกว่าเดิม มีรูให้ลงไปแช่น้ำได้ แต่สิ่งที่คุณอาจพลาดคือทิวทัศน์ โดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตกดินบอกเลยว่าสวยและโรแมนติกมาก